Jaipur-Agra กิน อยู่ อย่างราชาที่อินเดีย

Where do you want to travel?

Your journey will lead you to famous domestic and foreign beauty spots.

Jaipur-Agra กิน อยู่ อย่างราชาที่อินเดีย

  ทำไมถึงไปอินเดีย ? คิดดีแล้วหรอ ? ไม่อันตรายหรอ ?

ทุกคนถามเราคำถามนี้ก่อนไป เอาตรง ๆ เราก็ไม่กล้าตอบอย่างมั่นใจนักว่าคิดดีแล้ว

แต่หลังจากเราเห็นหลาย ๆ คนไป ก็คิดว่าแล้วทำไมเราจะไปบ้างไม่ได้

มีที่สวย ๆ น่าไปตั้งเยอะแยะ ถ้าเราวางแผนดีๆก็น่าจะไม่เป็นไรหรอก และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของทริปนี้

เตรียมตัวยังไงบ้าง

 

  • เมืองชัยปุระ หรือ Jaipur มีบินตรงจากไทยโดยสายการบินแอร์เอเชีย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม ที่อินเดียจะช้ากว่าไทย 1 ชม 30 นาที
  • วีซ่า ทำง่าย ไม่ยุ่งยากเลยค่ะ เราทำวีซ่าออนไลน์ผ่านเว็บhttps://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html ค่าวีซ่าคนละประมาณ 4,000 บาท
  • การเดินทางในอินเดีย หลังจากฟังคนพูดมาเยอะ ว่าจะโดนหลอก โดนโกง สกปรก เราก็เลยจองรถส่วนตัวพร้อมคนขับตลอดทริป ราคาก็ไม่แพงอย่างที่คิดค่ะ เราจองกับบริษัทนี้ค่ะ http://www.delhirentcar.com/
  • อากาศ ช่วงที่เราไป คือต้นธันวาเป็นหน้าหนาวของที่อินเดียแล้ว อากาศก็จะประมาณ 18-24 องศา เย็นสบาย ถ้าเป็น ตอนเช้า กับตอนเย็น อากาศจะหนาวๆหน่อย ใส่เสื้อแจ๊กเก็ต ตัวนึงก็อยู่แล้วค่ะ
  • การแต่งตัว ที่อินเดียเค้าไม่แต่งตัวโป๊นะคะ ไม่ควรใส่ขาสั้น กระโปรงสั้นไป เลือกเอาที่สีสันสดใส ให้เข้ากับสถานที่ก็พอ
  • ค่าเงิน ที่อินเดียมีสกุลเงินรูปี คิดง่ายก็คือ เอาเงินไทยหาร 2 ได้เลยค่ะ เราแลกเงินที่ superrich สาขาราชดำรินะคะ
  • อาหาร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราเป็นห่วงที่สุด เพราะเราเป็นคนไม่ชอบอาหารอินเดียเลย เรียกว่าไม่กินเครื่องเทศทุกชนิด เราก็เลยพกมาม่า อาหารกระป๋องไปด้วย และเราก็มีเลือกร้านอาหารไว้จากเว็บ https://www.zomato.com/ เว็บนี้คล้าย ๆ วงในบ้านเรา แค่เลือกเมืองที่จะไป แล้วดูรีวิวของแต่ละร้านเลยค่ะ เราทดลองแล้ว ร้านไหนดาวเยอะ ๆ คืออร่อยจริง ๆ ค่ะ ที่อินเดียมีร้านอาหารฝรั่ง จีน เยอะค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะกินไม่ได้เลย ส่วนอาหารอินเดีย ความจริงแล้ว มันไม่แย่อย่างที่เราคิดเลย เรียกว่าอร่อยเลยก็ได้
  • Sim โทรศัพท์ รอบนี้เราก็ใช้ Sim2fly ของ AIS เหมือนเดิม ราคา 399 บาท ใช้ได้นาน 8 วัน สะดวกสบายมากค่ะ ไปถึงเปลี่ยนซิมก็ใช้ได้เลย

เกริ่นซะเยอะ มาเริ่มเที่ยวกันเลยดีกว่า

DAY1 : Jaipur – Agra

เราออกเดินทางตอนกลางคืนของวันที่ 1 ธันวาคม ถึงเมืองชัยปุระตอน เที่ยงคืนกว่า

ต้องรอแถว ตม. เกือบชั่วโมงเพราะต้องให้ ตม.  แสตมป์ e-visa และสแกนลายนิ้วมือ

กว่าจะออกมาได้ก็เกือบตี 2 แล้ว แต่คนขับก็มารอเราหน้าประตูทางออกเลย

จากนั้นเค้าก็พาเราไปส่งที่โรงแรม คืนนี้เราพักที่ Four Point By Sheraton เ

ป็นโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบินเลย ห้องพักก็สะอาด ใหญ่โต

ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเราก็พักผ่อนกันก่อน

และตอนเช้า เราก็นัดคนขับมารับตอน 9 โมง เพื่อไปเที่ยว Amber Fort ก่อนไปเมือง Agra

ถึงแล้วเมืองสีชมพู ที่ดูแล้วมันก็ไม่ค่อยจะชมพูซักเท่าไหร่

ระหว่างทางก็ผ่าน Hawamahal ด้วย เดี๋ยววันสุดท้ายเราจะมาถ่ายรูปที่นี่กันอีกที

ก่อนจะถึง Amber Fort คนขับก็แวะรับไกด์ขึ้นรถมา

พวกเราก็งงกันมากว่า อ้าว มีไกด์ด้วยหรอ ตอนตกลงคือมีแค่คนขับนิ

แต่เอาไงก็เอา มีก็ดีกว่าต้องเที่ยวเอง พอไปถึงก็แวะถ่ายรูปข้างหน้าก่อน ที่นี่สวยอลังการมากเลยค่ะ

จากนั้นเราก็ไปเข้าคิวขี่ช้างกัน ค่าขี่ช้าง ตัวละ 1100 รูปี

ถ้าใครอยากขี่ช้างให้รีบมาแต่เช้านะคะ เพราะช้างจะอยู่ถึงแค่ 11 โมง

ไกด์บอกว่าไม่ต้องไปคุยกับคนขี่ช้างเพราะเค้าจะขอทิป

แต่ขนาดเราไม่คุยพอส่งเราเสร็จเค้าก็ขออยู่ดี เราไม่มีแบงค์ย่อย ก็เลยเอาเงินไทย 20 บาทให้เค้าไป เค้าก็เอานะ 555

ไกด์ก็ไปรอรับพวกเราอยู่ข้างบน จากนั้นเค้าก็พาไปเที่ยวชมด้านใน ค่าเข้าที่นี่คนละ 500  รูปีค่ะ

แค่ริมกำแพงก็สวยแล้ว

ข้างในนี้สวยงามอลังการมาก มีที่ให้ถ่ายรูปเยอะมาก เรียกได้ว่า ที่เดียวก็ถ่ายไปหลายร้อยรูปแล้ว

โอย สวยมากจริงๆ ฟินสุดๆ

เข้ามาถ่ายด้านในบ้าง มาอินเดีย ถ้าอยากถ่ายรูปเดี่ยวแบบไม่ติดคน บอกเลยว่ายากมากค่ะ

รูปนี้ฝีมือไกด์ค่ะ ฝีมือไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย

มีที่ให้ถ่ายรูปชิคๆเต็มเลย เมมจะเต็มตั้งแต่วันแรกแล้ว

จากนั้นเราก็นั่งรถออกมา ก็จะผ่าน Jal Mahal พระราชวังกลางน้ำ ที่ถ่ายรูปได้จากฝั่งอย่างเดียว เห็นไกด์บอกว่าเร็วๆนี้เค้าจะเปิดเป็นโรงแรม ด้านในคงจะสวยน่าดูเลย

ก่อนออกจากเมืองไกด์ก็พาเราแวะไปดูส่าหรี ของขึ้นชื่อของอินเดีย และเราก็อดใจไม่ได้ก็เลยซื้อมาผืนนึง ผืนนี้ราคา 2200 รูปีค่ะ ผืนใหญ่มาก เรากะว่าจะเอามาทำเป็นผ้าพันคอ ตัดแบ่งได้อย่างน้อยๆ  3 ผืนเลย

จากนั้นก็แวะกินข้าวกลางวันก่อน เราบอกไกด์ว่าขอร้านที่อร่อย สะอาด เค้าก็เลยพามาร้านนี้ค่ะ

เราสั่ง Chicken Tikka เป็นไก่ย่างแห้งๆแต่รสชาติ ดีค่ะ ไม่มีกลิ่นเครื่องเทศ แล้วก็สั่ง Sweet and Sour Chicken รสชาติก็เหมือนไก่ผัดเปรี้ยวหวานเลยค่ะ ส่วนเครื่องดื่ม เค้าว่ากันว่ามาที่ชัยปุระต้องลอง Lassi  ซึ่งก็คือ smoothie เราก็เลยลอง Mango Lassi ไป อร่อยจริงด้วยค่ะ

มื้อนี้กินไปเกือบ 2000 รูปี ถือว่าราคาสูงเลย แต่เราว่าอร่อยมากเลยค่ะ

จากนั้นก็ถึงเวลานั่งรถยาวๆเพื่อเข้าเมือง Agra กัน ระหว่างทาง ก็แวะ Abhaneri ก่อน ที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำเรื่อง Batman ด้วย

จากนั้นก็เข้าเมือง Agra กันค่ะ กว่าจะถึงเมืองก็ดึกมากแล้ว เราก็เลยให้คนขับพาไปกินข้าวก่อน เราเลือกร้าน Pince of Spice เพราะร้านนี้รีวิวเยอะมาก พอไปถึงคนยังรอคิวอยู่หน้าร้านเต็มเลย ขนาดตอนนี้ 3 ทุ่มกว่าแล้ว สงสัยจะต้องอร่อยมากจริง

อาหารที่เราสั่งมาแล้ว ข้าวผัดที่นี่เผ็ดมากเลย สงสัยมีเครื่องเทศเยอะ แถมให้มาเยอะอีก กินเท่าไหร่ก็ไม่หมด

พอทานข้าวเสร็จ ก็เข้าที่พักกันค่ะ เราพักที่ Hotel Orange เป็นโรงแรมที่อยู่ในเมือง Agra  เลย ห้องพักใหม่ สะอาดดีมากเลยค่ะ ราคาคืนนึงตกประมาณ 1200 บาทเอง เราจะนอนที่นี่ 2 คืนค่ะ

.

DAY 2: Taj Mahal

วันนี้เรานัดคนขับประมาณ  8 โมงเพื่อไปที่ทัชมาฮาล ที่พักเราอยู่ไม่ไกลค่ะ ขับรถไปประมาณ 20 นาทีก็ถึง เราซื้อตั๋วออนไลน์มาก่อนเลย เพราะจากที่ฟังๆมา ที่นี่ต่อแถวซื้อตั๋วนานมาก การซื้อตั๋วก็ไม่ยุ่งยากค่ะ เราซื้อผ่านเว็บ https://www.tajmahal.gov.in/ticketing.html ค่าตั๋วคนละ 530 รูปี ก่อนเข้าต้องตรวจสัมภาระก่อน

Tips: ที่นี่เค้าไม่ให้พกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ ขาตั้งกล้อง ปากกา ลิปสติก ของกิน ลูกอม หมากฝรั่ง เข้านะคะ ถ้าพกมาต้องเดินไปฝากที่ล็อกเกอร์เค้าซึ่งต้องเสียเงินค่ะ

พอเข้ามาข้างในถึงกับตะลึงในความสวยงามของที่นี่เลย ขนาดหมอกเยอะขนาดนี้ยังสวยขนาดนี้เลย

เดินเข้ามาด้านใน เค้าจะให้ถุงคลุมรองเท้ามาใส่ ก็ใส่ครอบรองเท้าไปเลย เป็นไอเดียที่ดีมาก

จะได้ไม่ต้องฝากรองเท้า ไม่ต้องกลัวรองเท้าหายด้วย

หมอกเริ่มจางลง ฟ้าก็เริ่มใสแล้ว ดีงามมาก

ถ่ายมุมไหนก็สวย แต่กว่าจะได้รูปนี้มา ไม่ใช่ง่ายๆเลย เพราะต้องฝ่าฝูงชนเข้ามาถ่ายตรงมุมมหาชน

เดินชมทัชมาฮาลประมาณ 2 ชม. เราก็ไปเที่ยวต่อกันที่ Agra Fort

ถ้าเป็นคนไทย แค่โชว์พาสปอร์ต ค่าเข้าจะเหลือคี่ 40 รูปี ราคาเท่าคนอินเดียเลยค่ะ

งานสลักหินอ่อน ปราณีต งดงามมากจริงๆค่ะ

จากนั้นเราก็ไปที่ เบบี้ทัช หรือเรียกว่า Itimad Ud Daulah Tomb

ที่นี่เป็นต้นแบบของทัชมาฮาล ค่าเข้าชม สำหรับคนไทยเหลือคนละ 15 รูปีค่ะ

ที่นี่สวยไม่แพ้ ทัชมาฮาลเลย ถึงจะไม่อลังการเท่า แต่ก็งานละเอียด ประณีตมากค่ะ

เข้ามาถ่ายด้านใน ก็เก๋ไปอีกแบบค่ะ

มื้อเย็นเราไปกินอาหารที่ร้าน Tea’se Me Rooftop ร้านนี้มีเป็นอาหารฝรั่ง ตั้งอยู่บ้านชั้นดาดฟ้า  เราสั่งพิซซ่า กับ ไก่อบมา รสชาติดีมากเลย มื้อนี้กินไปทั้งหมด 1000 รูปีค่ะ

หน้าตาพิซซ่า ก็จะประมาณนี้ค่ะ ดินเนอร์ใต้แสงเทียนจริงๆ

หน้าตาดูดี รสชาติดียิ่งกว่าค่ะ

หลังจากกินเสร็จ เราก็กลับไปพักผ่อนที่โรงแรมกันค่ะ

.

DAY 3: Agra to Jaipur

วันนี้เราต้องนั่งรถกลับเมืองชัยปุระ และระหว่างทางเราจะผ่านที่ Fatehpur Sikri ก่อน

ที่นี่ความจริงแล้วเราจะไม่มีไกด์ ซึ่งตอนแรกเราก็ตกลงกันไว้ว่าไม่ต้องจ้างไกด์ก็ได้

เพราะ ขึ้นรถไปถึงด้านบน ก็น่าจะเดินเองได้ไม่มีปัญหา

แต่พอไปถึงจริงๆ มองไปรอบๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย เราก็เริ่มกลัว

พอลงจากรถ ก็มีพวกไกด์ท้องถิ่นมาดักรอเลย เราก็เลยถามว่า เท่าไหร่

เค้าบอก ไม่แพงๆ แค่ 250 รูปี เราก็เลยตอบตกลงทันที คิดว่าอย่างน้อยมีไกด์ไว้ก็อุ่นใจกว่า 555

ไกด์พาพวกเรานั่งรถ Auto rickshaw ซึ่งก็คือตุ๊กตุ๊กบ้านเรา นั่งขึ้นไปด้านบน

ที่นี่เหมือนอีกโลกนึงเลย มีความขลังในแบบที่ทุกคนต้องมาสัมผัสเอง

ไกด์บอกว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มาก ถึงขนาดที่ประธานาธิบดีของอเมริกายังต้องมาขอพรที่นี่

วิธีขอพรก็คือ เค้าจะให้ด้ายมา 3  เส้น โดยสามารถขอพรได้ 3 เรื่อง

แล้วเอาด้ายแต่ละเส้นไปผูกด้านใน แต่เค้าไม่ให้ถ่ายรูปนะคะ

ขากลับไกด์ก็ปล่อยพวกเรานั่งรถบัสกลับกันเอง ค่ารถคนละ 10 รูปี

จากนั้นเราก็นั่งรถยาวๆเพื่อกลับไปที่เมืองชัยปุระกัน

วันนี้ตอนแรกเราตั้งใจจะไปดูวิวพระอาทิตย์ตกที่  Nahargarh Fort แต่เพราะอากาศไม่ดี

คนขับเลยบอกให้เราไปพรุ่งนี้แทน เราก็เลยเปลี่ยนแผนไปกินอาหารที่ Caffe Palladio กัน

พอเข้ามาด้านในแล้ว ลืมไปเลยว่าอยู่อินเดีย ไม่อยากจะเชื่อว่าที่นี่จะมีคาเฟ่ที่มีความมุ้งมิ้งได้ขนาดนี้

มองไปตรงไหนก็น่ารักไปหมดเลย

จากนั้นเราก็ให้คนขับพาเราไปที่ Bar Palladio ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับคาเฟ่ แต่ตกแต่งเป็นโทนสีฟ้า

ที่นี่ตั้งอยู่ในโรงแรม Narain Niwas Palace

ด้านในตกแต่งสวยมาก แต่เค้าไม่อนุญาติให้ใช้กล้องถ่ายรูป ก็เลยถ่ายจากมือถือเอา

เราสั่งขนมกันชามินท์มาทาน อร่อยมากเลย ราคาก็ไม่แพงด้วย

หลังจากฟินกับคาเฟ่แล้ว ก็ไปฟินกันต่อที่ที่พักของเราในคืนนี้ เราไปพักกันที่ Choki Dhani Jaipur

ซึ่งที่นี่เพื่อนคนอินเดียแนะนำมา ที่นี่แบ่งเป็น 2 ส่วน เป็นส่วนของที่พัก และ หมู่บ้านที่มีการแสดง และขายของ

ห้องพักของเราทางโรงแรมใจดี อัพเกรดให้ด้วย เราจองมาจากหน้าเวบไซต์ของโรงแรม คืนละ  ประมาณ 4000 บาท

ด้านในห้องพักตกแต่งน่ารักมาก ราคานี้ ได้ห้องสวยและใหญ่ขนาดนี้ ถือว่าคุ้มสุดๆไปเลย

ทางโรงแรมแจ้งว่า ที่หมู่บ้านอีกโซนนึงจะปิดตอน 5 ทุ่ม ถ้าพวกเรายังไม่เหนื่อย เค้าก็บอกให้ไปเดินเล่นได้

พวกเราก็เลยรีบไปเก็บของ และไปเดินเที่ยวกัน

.

DAY 4 : Jaipur Pink City

วันนี้ก่อนที่จะเชคเอาท์ เราขอไปสำรวจที่พักหน่อยว่าจะสวยงามแค่ไหน

หน้าตาห้องพักของพวกเรา

มีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปเยอะมาก

ขออวดหน่อย เมื่อคืนไปซื้อรองเท้ามาจากในหมู่บ้านที่เค้าขายของ คู่นี้ราคา 220 รูปี น่ารักมากเลย

ไม่ได้เห่อนะ แค่เอามาใส่เลยก็แค่นั้นเอง มีความเข้ากับบรรยากาศมาก

ถ่ายรูปเสร็จ ก็ถึงเวลาไปเที่ยวในเมืองชัยปุระกันแล้ว ที่แรกที่เราตั้งใจไปก็คือ Jawahar Circle Gate

ซึ่งเป็นทางผ่านก่อนเข้าไปในตัวเมือง จุดนี้บอกเลยว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

เพราะว่ามันมีความน่ารัก สีสันสวยงาม พาสเทลมาก

เรามาถึงตั้งแต่เช้า ก็เลยไม่มีคนเลย โชคดีสุดๆ

จากนั้น เราก็นั่งรถเข้าเมืองเพื่อไปเที่ยวกันต่อ ที่ต่อไป เราไปกันที่ Albert Hall museum

ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์กลางของเมืองชัยปุระ โดยสร้างตามสถาปัตยกรรมของอังกฤษ

ด้านนอกเหมือนเป็นจุกพักอาศัยของนก เค้าจะเอาอาหารนกมาโปรยไว้ด้านหน้า ทำให้ นกมาอยู่กันที่นี่เยอะมากกก

ด้านในไม่อนุญาติให้ใช้กล้องถ่ายรูปค่ะ เลยต้องถ่ายจากมือถือเอา

จากนั้นเราก็ไปที่ Hawamahal กันต่อ ที่นี่ถูกขนานนามว่า พระราชวังสายลม

พวกเราไม่ได้เข้าไปด้านใน แต่มาถ่ายรูปที่คาเฟ่ ที่เห็นวิว Hawamahal แทน

ฝั่งตรงข้ามจะมี ร้านกาแฟตั้งอยู่บนตึก ที่เห็นวิว Hawamahal อยู่หลายร้าน

ร้านที่พวกเราเลือกไปชื่อร้าน  Wind view cafe ไกด์พาพวกเราเดินขึ้นมาถ่ายรูป โดยไม่ได้สั่งอาหารเลย 555

จากนั้น พวกเราก็เดินไปที่ Jantra Mantra (ชันตรมันตระ) ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Hawamahal เลย

เดินไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว ที่นี่เป็นสถานที่ดูดาว ที่ทาง UNESCO ยกย่องให้

“เป็นการแสดงออกถึงความชาญฉลาดทางดาราศาสตร์
และแนวความคิดทางจักรวาลวิทยาของราชสำนักในช่วงปลายของยุคโมกุล”

ด้านในมีเครื่องมือวัดหน้าตาแปลกๆอยู่หลายชิ้นเลย

จาก Jantra Mantra เราก็เดินต่อไปที่ City Palace กัน ที่นี่มีค่าเข้า 2 แบบคือ เข้าไปเพื่อชมรอบๆ palace ราคาคนละ 500 รูปี ส่วนอีกแบบจะสามารถเข้าไปดูด้านในพิพิธภัณฑ์ได้ ค่าเข้าคนละ 2500 รูปี แต่เรามีเวลาไม่พอ ก็เลยเลือกแบบเดินดูด้านนอก

มีเด็กๆมาทัศนศึกษาเต็มเลย ก็เลยไปขอน้องๆถ่ายรูปซักหน่อย

พอเดินเข้ามาด้านในจะเจอกับประตูทั้งหมด 4 บาน ที่ตกแต่งเป็น 4 ลาย

ประตูแรกที่ใครๆมาแล้วก็ต้องมาถ่ายรูปก็คือ Peacock gate หรือ ประตูนกยูง

ลายนกยูงรำแพนหางสวยงามมาก

 

ที่สุดท้าย ก่อนกลับเมืองไทย เราไปกันที่ Nahargarh Fort ที่นี่อยู่บนภูเขา

เป็นจุดชมวิวยามเย็นที่สวยมากจุดนึงในชัยปุระเลย ไกด์บอกเราว่า ที่นี่สร้างไว้ให้มเหสีที่ไม่เป็นทางการอยู่กัน ด้านในจะมีห้องต่างๆ มากมาย

เสียค่าเข้าชม คนละ 200 รูปี

น่าเสียดายที่วันนี้หมอกลงเยอะมาก เลยไม่ได้เห็นวิวพระอาทิตย์ตกเลย

ก่อนกลับเราให้ไกด์พาไปซื้อของฝากในเมืองพอกรุบกริบ ใครมาอินเดียอย่าลืมมาซื้อ เวชสำอางค์ แบรนด์ himalaya นะ เพราะที่นี่ราคาถูกมาก ลิปมันราคาหลอดละ 30 รูปีเท่านั้น ราคาถูกแถมยังใช้ดีเกินราคาอีก หาซื้อได้ตามร้านขายของชำได้เลย

หลังจากชอปปิ้งเสร็จเราก็ไปสนามบินกัน ไฟล์ทออกจาก ชัยปุระ เวลา 23.45 น. ถึง กรุงเทพ ก็ประมาณ ช่วงเช้าพอดี

จบไปแล้วกับทริป 5 วัน 4 คืน ที่อินเดีย สำหรับเพื่อนๆที่รู้สึกว่า อินเดีย น่ากลัวเกินกว่าจะไปได้ เราอยากให้ลองมาเปลี่ยนความคิดแล้วมาเที่ยวดู แล้วคุณจะรู้ว่ามันคุ้มค่าจริงๆค่ะ

.

ค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับ 5 วัน

ค่าตั๋วเครื่องบินสายการบินแอร์เอเชีย กรุงเทพ- ชัยปุระ 7800 บาท

ค่าวีซ่า 4000 บาท

ค่าเช่ารถพร้อมคนขับตลอดทริป 4750 บาท

ค่าโรงแรม 4 คืน 4700 บาท

Sim2Fly 399 บาท

ค่าอาหาร  3000 บาท

รวมทั้งหมดประมาณ 25000 บาท (ไม่รวมค่าชอปปิ้งนะคะ)

 

nuttaponp

Nuttapon Pichetpongsa

Nuttapon Pichetpongsa - He is also a Blogger, Bookworm, Adventurous Traveler and Coffee Lover. Nuttapon's passion is about innovating test engineering methodologies and designing solutions to overall simplify product testing.

LEAVE A COMMENT